เรื่องที่ 038 จากสมองสู่สมอง ชุดฝึกความฉลาด ฝึกความฉลาดด้าน “ธรรม” ให้ลูกน้อย (1) เรื่องที่ 038 จากสมองสู่สมอง ชุดฝึกความฉลาด ฝึกความฉลาดด้าน “ธรรม” ให้ลูกน้อย (1)
2776Visitors | [2017-10-29] 

จากสมองสู่สมอง …... ชุดฝึกความฉลาด ฝึกความฉลาดด้าน “ธรรม” ให้ลูกน้อย

พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ


        สัปดาห์นี้เป็นช่วงฤดูฝน ที่กรุงเทพฯมีฝนตกหนักหลายวัน ไม่เห็นแสงแดดอันอบอุ่นเท่าไรเลย ถ้าท่านเคยไปท่องเที่ยวหรืออยู่ในอาศัยในประเทศที่มีอากาศหนาวนานสักหน่อย โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว หิมะตก บางทีก็มีฝน ไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันเป็นอาทิตย์ ๆ แล้วท่านจะรู้สึกว่า แสงแดดบ้านเราทำไมช่างอบอุ่นอะไรเช่นนี้ แต่ถ้าเราอยู่ในเมืองเรานาน ๆ เจอแดดทุกวัน อากาศร้อนเป็นบ้า อยู่ต่างจังหวัดที่ไม่ขาดแคลนน้ำมากนัก ก็คงได้อาบน้ำกันบ่อย ๆ แต่ถ้าอยู่ในเมือง อยู่ในสำนักงาน ทุกคนพากันวิ่งเข้าไปอยู่ในตึกที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ลองมานั่งนึก ๆ ทบทวนกันให้ดี ก็คงจะเห็นสัจจธรรมกันบ้างหรอกว่า เรื่องธรรมชาติ เราไม่อาจควบคุมหรือทำให้เป็นตามใจนึกของเราได้ แต่มนุษย์ต่างหากที่ต้องพยายามเข้าใจ และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสุข ยิ่งใจเรารู้สึกรุ่มร้อนมากเท่าไร ต่อให้อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา ก็ยังคงรู้สึกร้อนมาก แต่ถ้าเราทำความเข้าใจและยอมรับธรรมชาติอย่างที่มันเป็น พูดภาษาพระก็อาจจะว่า “ดวงตาเห็นธรรม(ชาติ) และไม่รุ่มร้อนอยากเปลี่ยนให้มันเป็นอย่างใจเราอยาก ๆๆๆ เราก็จะมีความสุขได้ตามควรแต่เหตุปัจจัย

            วันนี้ คุณแม่ คุณพ่อ อาจจะรู้สึกแปลก ๆ เอ๊ะ ดิฉันมาเทศน์ให้ฟังหรือไง ... แรงบันดาลใจจากที่ต้องอยู่ในภาวะไม่มีแดดหลายวัน ตากเสื้อผ้าไว้ก็ไม่แห้ง ไม่ได้ดมกลิ่นแดด แถมต้นไม้บางต้นก็ไม่ยอมออกดอก อย่างเช่น คุณนายตื่นสาย ไม่ออกดอกถ้าไม่มีแดด ก็เลยดูเฉาๆ ไปหน่อย เมื่อเช้าออกไปพบแสงแดด โอ้โฮ มีความสุขอะไรเช่นนี้ แม้จะสายแล้วรู้สึกแดดเผาผิวหนัง แต่มันอบอุ่น และเห็นดอกไม้บาน คุณแม่ คุณพ่อ เมื่อเวลาเครียด ๆ เคยลองสงบจิต เฝ้าดูธรรมชาติไหมคะว่า มันมีความงดงามอยู่ในทุกส่วน โคลนตมที่เราเคยเห็นว่าสกปรก รังเกียจมันเพราะเรามีความเชื่อลึก ๆ ว่า มันสกปรกเพราะมีเศษซากพืชซากสัตว์ แต่เราลองคิดดูให้ดี ๆ ตัวเราก็ประกอบขึ้นจากโมเลกุลและองค์ประกอบของธาตุต่าง ๆ คล้ายกับโคลนตม เพียงแต่แตกต่างกันด้วยรูปลักษณ์ที่เห็นเท่านั้น และถ้าเราแสดงท่าทางรังเกียจโคลนตม สอนลูกเราให้ห่างจากโคลนตม อย่าลูก อย่าๆๆๆ สกปรกนะ เรากำลังทำให้ลูกขาดความฉลาดไปหนึ่งด้านที่สำคัญมากในการดำรงชีวิตของเรา นั่นคือ ความฉลาดในการเข้าใจธรรมชาติ (Natural Intelligence) ในที่นี้ขอเรียกย่อ ๆ ว่า NI ซึ่งโฮเวอร์ด การ์ดเนอร์ ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญหนึ่งใน 9 ความฉลาดของมนุษย์ และการที่เด็กจะมีความฉลาดด้านนี้ได้ จะต้องใช้สมองหลายส่วนเรียนรู้เก็บไว้ในความทรงจำระยะยาว ซึ่งจะต้องได้รับการปลูกฝังจากคุณแม่ คุณพ่อ แต่เล็ก ๆ และโตขึ้น คุณครูช่วยเติมเต็มความรู้อันนี้

            อันที่จริง เด็กเล็ก ๆ ตั้งแต่เกิด ไม่มีแนวคิดเรื่องความสะอาดหรือสกปรก อะไรควร ไม่ควร ดี ไม่ดี ถูก ไม่ถูก และไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกนี้ จะอยู่รอดได้อย่างไร ควรจะทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตได้อย่างมีความสุข ตอนเล็ก ๆ ก็รู้เพียงว่า หิวก็ร้องบอกแม่ ให้แม่หาอาหารให้ หนาวก็ร้องบอกแม่ให้แม่ห่มผ้าให้ เจ็บก็ร้องไห้บอกแม่ ให้แม่หาวิธีช่วยให้หนูหายเจ็บ ก็เท่านี้ สมองเด็กเล็ก ๆ ทำได้เท่านี้ คือ พยายามสื่อสารกับคนรอบข้างให้ช่วยหนูหน่อย ช่วยหนูหน่อย แต่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะคลานไปดื่มนมจากอกแม่ ต้องให้แม่มาอุ้มไปดื่มนม สู้ลูกหมาลูกแมวก็ยังไม่ได้ เกิดมาใหม่ ๆ ยังไม่ลืมตา มันก็คลานไปดูดนมแม่ได้แล้ว ดังนั้น คุณแม่คุณพ่อกว่าจะเลี้ยงลูกแต่ละคนให้รอดปลอดภัย และโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีความสุข ต้องลงทุนลงแรงมากมายมหาศาล ถ้าไม่ใช่ด้วยความรักและแรงผลักดันจากธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ (ซึ่งก็ไม่ต่างจากสันชาติญาณของสัตว์อื่น ที่ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ของมัน เรากับสัตว์อื่น ๆ ก็เหมือนกันตรงที่เป็นทุกข์เพราะแรงผลักดันทางธรรมชาติ จึงไม่ควรเบียดเบียนกันมากเกินไป) พ่อแม่ก็คงหมดแรงเลี้ยงลูกกันไปแล้ว แต่ อย่าให้การลงทุนของเราเสียเปล่า ควรเลี้ยงลูกด้วยปัญญา คือ ความเข้าใจว่า เด็ก ๆ เราเรียนรู้อย่างไร และอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่เด็ก ๆ ควรรู้

            ขอให้ตัวอย่างการช่วยพัฒนาความฉลาดด้าน NI ของลูก หนึ่ง ต้องไม่ลืมว่า มนุษย์เราอยู่ได้ดีก็ต้องพึ่งพาธรรมชาติ ถ้าปีไหนฝนแล้งจัด ไม่มีน้ำ เราจะพากันตายหมด เพราะไม่มีปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ถ้าเราทำอากาศเสียหมดด้วยการปล่อยมลพิษอยู่ตลอดเวลา จนออกซิเจนลดน้อยลง และมีสารพิษต่าง ๆ เข้าไปแทนที่ มนุษย์จะเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายต่าง ๆ นานา ไม่มีทางที่เราจะหนีพ้นสิ่งที่เราทำลายธรรมชาติได้ คำถามสำคัญสำหรับมนุษย์ก็คือ เราจะอยู่ในโลกนี้แบบที่เป็นมิตรและเกื้อหนุนกับธรรมชาติได้อย่างไร โดยเฉพาะโลกเรากำลังเผชิญกับภาวะประชากรล้นโลก สิ่งแวดล้อมกำลังเสื่อมทรามลงอย่างรวดเร็ว แล้วลูก ๆ เราในอีก 30-40 ปีข้างหน้าจะทำอย่างไร นี่เป็นคำถามแรกที่พ่อแม่ต้องถามตัวเอง เพื่อคัดเลือกสิ่งที่จะสอนลูกของเรา คุณเลือกได้ที่จะฝึกลูกให้มีสติปัญญาในทางสร้างสรรค์ เริ่มจากทุกเช้าก่อนไปทำงาน ไปโรงเรียน หรือตอนเย็นก่อนตะวันตกดิน พาลูก ๆ ไปสัมผัสกับธรรมชาติรอบตัว แม้เพียงเล็กน้อยก็ดีกว่าให้อยู่แต่ในห้องแอร์ หรืออยู่แต่ในบ้านที่มีแต่ทีวี วิดิโอเกม คอมพิวเตอร์ เตาไมโครเวฟ เตาอบ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ซึ่งล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่ทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างสะดวกสบายมาก จนลืมความเป็นตัวตนของเราไป ขอเสนอกิจกรรมง่าย ๆ ที่คุณแม่คุณพ่อทำกับลูกได้ทุก ๆ วันเพื่อสร้างความฉลาดทางปัญญา “ธรรม” NI ให้ลูกได้


ของฝากวันนี้ ... สำหรับฝึกการพูดให้ลูก ๆ นะคะ ตอนที่ลูกยังพูดไม่เป็น คุณแม่ คุณพ่อ คุยกับลูก ชี้ชวนให้ดูสิ่งต่าง ๆ ในบ้าน เริ่มจากร่างกายคุณแม่คุณพ่อก่อนก็ได้ ขณะที่ชี้ ก็หันหน้ามองเขา ขยับปากให้เขาเห็นชัดเจนว่า วิธีที่เราพูดคำว่า “ตา” เราทำปากอย่างไร ชี้ไปทีละอย่าง “นี่มือนะลูก” ก็ยกมือให้ลูกเห็น แล้วขยับปากให้ลูกดูช้า ๆ ว่า “มือ” วิธีนี้จะทำให้สมองของเด็กรับภาพสิ่งที่เราชี้ ฟังการออกเสียงคำที่เราพูด ไปสร้างวงจรขึ้นในสมอง และลูกจะเริ่มฝึกการบังคับกล้ามเนื้อ ขยับปากตามเรา นอกจากนี้อาจช่วยเสริมด้วยการ ให้ดมกลิ่นมือเรา และจะเห็นลูกจะชอบเอานิ้วของเราไปอมดูด นี่คือวิธีที่ เด็ก ๆ เรียนรู้นะคะ ยิ่งถ้ามีวงจร ภาพ+เสียง+กลิ่น+รส+สัมผัส ร่วมกันจะช่วยให้ลูกพูดได้เร็วตามพัฒนาการที่ควรค่ะ ขยันทำเช่นนี้ ลูกจะพูดได้ตามวัยนะคะ